บทความไลฟ์สไตล์รวม 5 หนังสือสำหรับคนหมดไฟ เติมกำลังใจในวันที่ใกล้จะหมดลง

รวม 5 หนังสือสำหรับคนหมดไฟ เติมกำลังใจในวันที่ใกล้จะหมดลง

หนังสือน่าอ่าน ที่อ่านแล้วช่วยฮีลใจ เปลี่ยนอาการคนหมดไฟ ให้มีพลังขึ้นมาเป็นคนใหม่ จะมีเล่มไหนน่าสนใจบ้าง เรารวมลิสต์มาให้ที่นี่แล้ว

เวลาที่เราเจ็บปวดทางกาย มักจะเห็นได้ด้วยสายตา ความรู้สึกเจ็บปวดที่ชัดเจน ทำให้เราต้องพาตัวเองไปพบแพทย์เพื่อรักษาให้อาการเหล่านั้นหายไป แต่สภาวะทางจิตใจ ต้องยอมรับกันตามตรงเลยว่า หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร แบบไหนก้าวข้ามไปสู่อาการอันตราย ทำให้เรามองข้ามอาการเหล่านั้นไป และไม่ได้รักษาเยียวยาตัวเองอย่างถูกวิธี ส่งผลกระทบหลาย อย่างตามมา แต่เชื่อว่าหลายคนที่กำลังมีอาการเหนื่อยล้า เบื่อหน่ายกับการทำงาน  น่าจะพอเดาออกกันว่า อาการเหล่านี้คืออาการหมดไฟ หมดใจกับการทำงาน ซึ่งหากคุณเป้นหนึ่งคนที่กำลังรู้สึกแบบนี้ เราอยากขอแนะนำหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เรารู้เท่าทันอาการหมดไฟ และเติมพลังใจได้อย่าถูกต้อง ซึ่งการอ่านหนังสือที่ดีเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยได้จริง ๆ วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนไปรู้จักกับ 5 หนังสือสำหรับคนหมดไฟ อ่านไป ฮีลใจไปพร้อมกับเรา

Outline Content

  • ภาวะหมดไฟ ไม่ว่าจากเหตุผลใดก็ตาม เป็นสัญญาณเตือนอย่างรุนแรง ต่อสภาพร่างกายและจิตใจ แต่หลายคนมักไม่เข้าใจ มักมองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นแค่อาการชั่วคราวที่นอนพักก็หายได้ แต่ความจริงหากเรามีภาวะหมดไฟจริง สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการหาวิธีในการดูแลเยียวยาที่ถูกต้อง ป้องกันการกลายเป็นซึมเศร้าได้
  • หลายคนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองหมดไฟ สิ่งที่ทำได้คือหันกลับมาดูแลร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายตามสไตล์ที่เหมาะสมกับแต่ละคน เมื่อรู้แล้วว่าเป็นอะไร การดูแลหัวใจเพื่อเติมไฟอีกครั้ง จะทำให้เรารักตัวเองมากยิ่งขึ้น
  • วิธีการที่เหมาะกับคนที่อยากเติมไฟ อยากรู้จักตัวเองให้มากขึ้น การอ่านหนังสือคือไพ่ใบสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจบริบทรอบข้างที่เกิดขึ้น เรียกสติและความคิดกลับมา ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวบนตัวหนังสือ ที่ชวนให้เราอยากที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น และอยากใช้ชีวิตแบบคนที่รักตัวเองมากขึ้นในทุก ๆ วัน

หมดไฟ หรือกำลังจะกลายเป็น ‘ซึมเศร้า’

เบื่อมาก ไม่อยากทำงาน นี่เรากำลังเป็นอะไรกันแน่ หลาย ๆ ครั้งที่เรารู้สึกเครียด เบื่อหนาย เหนื่อยกับงานที่ทำอยู่ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่เป็นแค่สภาวะที่ร่างกายอยากพักผ่อนเฉย ๆ หรือใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราอาจจะกำลัง ‘หมดไฟ’ กับการทำงานก็ได้ ภาวะหมดไฟ หรือ Burn out syndrome คือหนึ่งในอาการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ภาวะหมดไฟเป็นผลจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ส่งผลต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด และจิตใจที่เกิดขึ้น โดยมีอาการหลัก ๆ คือ รู้สึกเสียพลังงานทางจิตใจ เหนื่อยล้า มองความสามารถตัวเองในเชิงลบ ขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จ รู้สึกห่างเหินจากผู้ร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า มองความสัมพันธ์ในเชิงลบ หากคุณยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหมดไฟหรือไม่ เราอยากชวนคุณมาลองทำเช็กลิสต์สภาวะหมดไฟกับเรากัน ถ้าคุณรู้สึก

  • ไม่อยากตื่นไปทำงาน แต่ไม่ได้ขี้เกียจ 
  • ทำงานพลาด ทำงานได้ช้าลงทั้งที่เคยทำได้เร็วกว่านี้ 
  • หมดพลัง เหนื่อยรอบด้าน
  • ไม่มีความสุขกับงาน 
  • โครตจะไม่ชอบเช้าวันจันทร์ 
  • มีงานต้องทำแต่ไม่อยากทำ 
  • ลางานบ่อยหรือไปทำงานสาย 
  • ไม่มีสมาธิ 
  • กลางคืนนอนไม่หลับ
  • ไม่อยากคุยกับเพื่อนที่ทำงาน 
  • ปวดเมื่อยเนื้อตัว 

หากลองเช็กลิสต์แล้วพบว่าเราตอบไปเกิน 60% อยากให้คุณลองนั่งนิ่ง ๆ แล้วหันกลับมาฟังเสียงตัวเอง ดูแลหัวใจตัวเองให้มากขึ้น ลดความคาดหวังของตัวเองและงานที่ทำลง ไม่เช่นนั้น อาการหมดไฟ อาจจะกลายเป็นอาการซึมเศร้าที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูยาวนาน

ทำยังไงดี เมื่อรู้สึกว่าไฟกำลังใกล้มอดลง

หากเรารู้แล้วว่าเรากำลังหมดไฟ และอยากให้หัวใจรู้สึกดีขึ้น วันนี้เรามีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยดูแลใจเบื้องต้น ไม่ให้เข้าสู่สภาวะที่แย่ลงไปกว่าเดิม เริ่มจากการปรับเรื่องพื้นฐานอย่างเช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ไม่หันหน้าไปพึ่งสารเสพติด ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ นอนอย่างมีคุณภาพ ดูแลวงจรการนอนหลับ และช่วง NREM หรือการหลับลึกให้ดี ยืดหยุ่นมากขึ้น รับฟังความคิดเห็นคนรอบข้าง ขอความช่วยเหลือในเรื่องที่เกินกว่ากำลัง มองโลกในแง่ดีคิดบวก เห็นคุณค่าในตัวเอง ร่าเริงแจ่มใส พร้อมจัดระเบียบการทำงานและเรียงความสำคัญใหม่ หากิจกรรมหรือแรงบันดาลใจใหม่ เช่นการออกไปเที่ยว หรือการอ่านหนังสือดี ๆ สักเล่มเพื่อปลอบประโลมจิตใจก็เป็นสิ่งที่ทำได้เช่นกัน

5 หนังสือคนใกล้หมดไฟ เติมกำลังใจในวันที่ใกล้จะหมดลง

หากคุณกำลังหมดไฟ เราขอช่วยเติมกำลังใจ เติมไฟ เติมแพชชั่นของทุกคน ด้วยหนังสือที่คัดมาแล้วว่าดีต่อใจ ช่วยให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง และผู้คนรอบข้างได้อย่างเข้าใจมากชึ้น ผ่านหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวจิตวิทยาที่ช่วยให้เรารักตัวเอง และดูแลใจเราได้เป็นอย่างดีในวันที่ไฟใกล้มอด พร้อมทำให้เรามีไฟอีกครั้ง ไปเริ่มอ่านกันเลย

หนังสือ It doesn’t have to be crazy at work “ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน!”

เครดิตรูป naiin.com

บางคนอาจจะรู้สึกมีแพชชัน และรักในงานที่ทำมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะทำให้บางคนที่รักงานแทบเป็นบ้าได้เลยเช่นกัน ช่วงนี้งานหนักเป็นบ้า ต้องทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง หรือหลายสาระพันปัญหาที่ทำให้รู้สึกหมดไฟ อยากจะบ้าตายรายวันให้ได้ แต่อยากขอให้ทุกคนใจเย็น และลองมาอ่านหนังสือเล่มนี้กับเราก่อน 

เปิดตัวด้วยเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ หลาย ๆ หัวข้อน่าสนใจอย่างมาก และสิ่งที่ช่วยทำให้เราดีไซน์การทำงานได้ดีมากขึ้น อย่างเรื่องของเวลา หากจะทำงานได้ดี ในเวลา 1 ชม. เราไม่ควรถูกรบกวนจากสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป การถูกแบ่งเวลาออกเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ทำให้การทำงานที่ควรสำเร็จ กลับไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะไม่มีโฟกัส และสิ่งนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้คนทำงานอารมณ์ฉุนเฉียว เพราะถูกบั่นทอนเวลาจากการทำงาน นอกจากหนึ่งวันจะไม่ได้งานเลย  ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนทำงานหมดไฟได้ เพราะการที่ไม่ได้เห็นความสำเร็จของงานที่ตัวเองทำ ดังนั้นการจัดเวลาโฟกัส และทำงานจนสำเร็จได้ จะทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานได้อีกครั้ง

หรืออีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ เป็นเรื่องของคงามสัมพันธ์ในที่ทำงาน เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยประสบปัญหานี้ และหลายครั้งเรื่องความสัมพันธ์ กลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นเชื้อไฟในที่ทำงาน ยิ่งปัญหาเยอะ การจัดการยิ่งมากขึ้น ทำให้พลังงานในการใช้ชีวิตเราลองน้อย ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะหมดไฟกับการทำงาน ปัญหาเหล่านี้จะลดน้อยลงหากทุกคนรู้จัก ‘แบตเตอรี่​แห่งความเชื่อใจ’​ ซึ่งการทำงานของสิ่งนี้ จะมีไฟอยู่​ 50% ในครั้งแรกที่เจอกันบนความคาดหวังของแต่ละฝ่าย หลังจากนั้นทุกครั้งที่​เรามีปฏิสัมพันธ์ ปริมาณ​แบตเตอรี่​ความเชื่อใจจะสามารถเพิ่มขึ้น​หรือลดลงก็ได้​ ขึ้น​อยู่กับ​ว่าสิ่งที่เราปฏิบัติต่อกันนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งแบตเตอรี่​ความเชื่อใจนี้แหละ จะทำให้เราเข้าใจ และอยู่เหนือปัญหาความสัมพันธ์อันหนักหน่วงที่ทำให้เราหมดใจได้เป็นอย่างดี 

ทำไมควรมีหนังสือเล่มนี้ติดบ้าน หากเราเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกไม่อยากเป็นบ้าไปกับงานซะก่อนตามชื่อหนังสือ หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ ปล่อยวาง และทำให้มีความสุขในการทำงานมากขึ้น หรืออาจจะทำให้คุณตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ง่ายมากขึ้นก็ได้นะ

นักเขียน Jason Fried และ David Heinemeier Hansson
ราคา 158 บาท


หนังสือ Thank God it’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ

เครดิตรูป m.se-ed.com

ไม่อยากทำงานเลย ทำไมเราต้องทำงาน ทำไมงานไม่ทำตัวเองบ้าง หลายความรู้สึกในวันทำงาน ทั้งจริงจังและพูดกันขำ ๆ เป็นมีมในวงสนทนาตอนพักเที่ยง แต่ใครจะรู้ว่า คำพูดเหล่านี้คือความรู้สึกลึก ๆ ในจิตใจของคนที่เบื่องาน และใกล้หมดไฟกับการทำงาน Thank God it’s Monday เป็นหนังสือที่ควรค่าแก่หยิบมาอ่าน ในวันที่รู้สึกโครตเบื่อกับงาน 

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเทคนิคที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้แม้ทำงานประจำ เช่น ให้คุณไปเอาชีวิตคุณคืนมาด้วย ‘Time Blocking 8 ชั่วโมงที่เราทำงาน เราใช้เวลาอย่างมีคุณภาพแล้วใช่หรือไม่’ เพราะบางครั้งเราอยู่ออฟฟิศมากกว่า 10 ชั่วโมง แต่กลับไม่ได้อะไรเลย หรือจริง ๆ แล้ว เรากำลังโดนปล้นเวลาชีวิตของเราไปกันแน่ สิ่งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังจัดการเวลาของเราได้ไม่ดีพอ เหมือนคำพูดที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินอย่าง ‘If you don’t set your priorities, Someone elese will – ถ้าคุณไม่กำหนดว่าอะไรสำคัญในชีวิต คนอื่นจะกำหนดให้คุณ’ เป็นอีกหัวข้อที่ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่า หรือการที่เรากำลังหมดไฟ อาจเป็นเพราะคนอื่นทำให้มันมอดไหม้ด้วยการกำหนดสิ่งต่าง ๆ ให้คุณก็เป็นได้ เราจึงไม่ได้จัดเวลาเพื่อที่จะดูแลหัวใจตัวเอง

ทำไมควรมีหนังสือเล่มนี้ติดบ้าน หนังสือเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราได้แนวคิดในการจัดการกับชีวิตและความคิดแบบมีคนคอยแนะนำในสิ่งที่เราอาจจะลืม หรือช่วยเพิ่มทริคในการทำงานที่ทำให้การทำงานในออฟฟิศเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

นักเขียน อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์
ราคา 210 บาท


หนังสือ EMOTIONAL FIRST AID ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ

เครดิตรูป thailand.kinokuniya.com

แค่คำโปรยบนหนังสือปกสีเขียวนีออนที่วางบนเชล์ฟในร้านหนังสือ แรงดึงดูดอย่างดีที่ดึงให้คนที่กำลังมีสภาวะจิตใจที่ใกล้หมดแรงเดินเข้ามาเปิดอ่าน ‘ชุดปฐมพยาบาลทางอารมณ์เบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการแตกสลาย และป้องกันใจที่อักเสบลุกลาม’ หนังสือเล่มนี้เล่าถึงมุมมองในเรื่องของความรู้สึกของมนุษย์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และหลาย ๆ ครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่าง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกเบื้องลึกต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพใจจิต จากบาดแผลเล็ก ๆ สู่การลุกลามที่ยิ่งใหญ่ได้หากไม่ได้รับการดูแล แก้ไขอย่างถูกต้อง นอกจากนั้น EMOTIONAL FIRST AID ยังบอกขั้นตอนวิธีการเยียวยา ผลลัพธ์ และคำแนะนำว่าเมื่อไหร่ที่เราจะแน่ใจได้แล้วว่า ต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง

Guy Winch นักเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้บอกเล่าลักษณะของบาดแผลที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเรา ผ่านการเทียบกับอาการป่วยทางกายทั่วไปที่เข้าใจง่าย แค่อ่านก็เข้าใจว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ในตอนนั้น เช่น การถูกปฏิเสธเปรียบเหมือนรอยบาดและรอยถลอกทางอารมณ์ของชีวิตประจำวัน การสูญเสียและเหตุการณ์สะเทือนใจเทียบเท่าการเดินด้วยกระดูกที่หัก ความรู้สึกผิดเหมือนพิษในร่างกายของเรา การครุ่นคิดหรือความเคารพตัวเองต่ำเหมือนระบบภูมิคุ้มกันทางอารมณ์อ่อนแอ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นอาการที่ร่างกายถูกทำร้ายโดยที่บางครั้งเราเองก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังเจ็บอยู่ บางบาดแผลทางใจอาจไม่ได้ร้ายแรงจนต้องเข้ารับการรักษา แต่หากเราปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจทำให้ลุกลามจนกลายเป็นแผลขนาดใหญ่ที่ยากต่อการรักษาได้

ทำไมควรมีหนังสือเล่มนี้ติดบ้าน นอกจากเล่มนี้จะบอกเล่าความรู้สึก ขั้นตอนเยียวยา แบบฝึกหัดต่าง ๆ หรือการหยิบยกตัวอย่างมาใช้ได้จริงแล้ว หนังสือเล่มนี้เหมือนคู่มือแนะนำการใช้ยาที่บอก ‘ขนาดในการใช้งาน’ หรือแม้กระทั่ง ‘ใครที่ใช้ได้ผล’ บนการบอกเล่าที่เข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ของมนุษย์อย่างแท้จริง สุดท้าย หากเรารู้ว่าร่างกายกำลังเจ็บปวด หมดไฟ และดูแลใจเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณกลับมาเป็นตัวเองในแบบที่สุขภาพใจเข้าใกล้ความสุขอีกครั้ง

นักเขียน Guy Winch
ราคา 296 บาท


หนังสือ ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน

เครดิตรูป thailand.kinokuniya.com

ถ้ากำลังรู้สึกว่า เหนื่อยกับการอดทนรอบตัว จนร่างกายฟ้องว่าไม่ไหวแล้ว เราอดทนไปเพื่ออะไร ทำไมเราต้องอดทนมากถึงขนาดนี้ หรือจริง ๆ แล้ว การที่เราอดทนจนเกินขอบเขต อาจจะกลายเป็นอาวุธแหลมคมที่ทิ่มแทงเราอย่างรุนแรงก็เป็นได้ เหมือนที่นักจิตแพทย์ชาวญี่ปุ่นเจ้าของหนังสือ ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน ได้บอกเล่าเรื่องราวความอดทนของคนไข้ในการดูแลของเขา ที่ค่อย ๆ ทำลายตัวเองจากการอดทนที่ไม่มีขอบเขต การใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น จนทำลายตัวเอง หนังสือเล่มนี้ยังเล่าถึงแนวคิดผ่าน 28 ข้อ ที่จะทำให้เราได้ใช้ชีวิตของเราได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง ความสบายตัวและเลิกฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ หรืออะไรก็ตามที่สังคมบอกว่าต้องทำ เราจะไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่นอีกต่อไป เพื่อไม่ต้องทนเหนื่อยที่จะต้องใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น

เรากำลังอดทนอย่างไม่รู้ตัวหรือไม่ กฏเกณฑ์ในการทำงาน สังคม ค่านิยมที่หล่อหลอมให้การค้นหาความหมายของชีวิต หรือการเป็นตัวเองกลายเป็นเรื่องที่ยาก หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปเคารพตัวเองให้ได้มากขึ้น ด้วยการแบ่งพื้นที่ของเรากับคนอื่น คือ พื้นที่ที่เราต้องปกป้องตัวเอง และพื้นที่ที่คนอื่นต้องปกป้องพื้นที่ของเขาด้วยเช่นกัน พูดง่าย ๆ คือ การเคารพพื้นที่และความเป็นตัวเองของกันและกัน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทั่วไป แม้แต่ในการทำงานทำงาน สิ่งเหล่านี้ก็ควรเกิดขึ้น  เราต้องไม่ไปแย่งชิงควบคุมชีวิตคนอื่น และคนอื่นก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นกับเราได้ พยายามตีขอบเขตของเรากับคนอื่นไม่ให้กว้าง หรือแคบจนเกินไป อย่าให้ความคาดหวังทำให้เราลำเส้นซึ่งกันและกันได้ หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าในขณะที่เราอ่อนแอ การที่เราเจอใครสักคนเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก รู้หรือไม่หากเราอ่อนแอ คนที่เราควรเจอควรมีพลังลบประมาณ 30% ก็เพียงพอแล้ว เพราะบวกมากไปอาจเป็นพิษต่อใจคนอ่อนแอได้ แนวคิดในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกหมดไฟจากเรื่องงาน หรือความสัมพันธ์รอบตัวก็ตาม มันจะพาคุณไปสู่เส้นทางที่มีความสุขได้อย่างแน่นอน

ทำไมควรมีหนังสือเล่มนี้ติดบ้าน หนังสือ ‘ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน’ จะเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่จะช่วยยืนยันว่า ชีวิตที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องอดทนจนเลยขอบเขตในสิ่งที่เราสามารถรับได้ หากเรามีขอบเขตของตัวเอง และเคารพขอบเขตของตัวมากพอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะจัดการกับสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องอดทนจนเกินความสามารถที่จิตใจของเราจะรับได้

นักเขียน ซูซูกิ ยูซึเกะ
ราคา 250 บาท


หนังสือ เหนื่อยไหม กอดหัวใจตัวเองหรือยัง

อีกหนึ่งเล่มที่ชื่อหนังสือชวนให้คนที่เหนื่อยจนแทบขาดใจ น้ำตาคลอกับสิ่งนี้ได้ เหนื่อยไหม กอดหัวใจตัวเองหรือยัง’ เรื่องราวในวันที่หัวใจอ่อนแอ หาสมดุลไม่เจอ แต่เรายังเป็นคนเก่งใจสู้ ยังฝืนได้อยู่ แม้ว่าการฝืนนั้น จะไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังทำเพื่อตัวเองก็ตาม ในตอนนี้คุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้นหรือไม่ หรือกำลังไร้เรี่ยวแรงหมดกำลังใจ ไม่ว่าอะไรก็ตาม อยากให้ลองนั่งพัก สงบใจแล้วมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง ว่าวันนี้เรากำลังเหนื่อยเกินไปมั้ย ร่างกายอาจจะกำลังเรียกร้องขอความรักจากคุณ อยากขอพื้นที่พักผ่อน หรือขอให้ไปทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ก็ได้

เหนื่อยไหม กอดหัวใจตัวเองหรือยัง’ นอกจากจะบอกเล่าและให้วิธีฟังเสียงหัวใจตัวเองแล้ว ยังแนะนำวิธีช่วยปลุกพลังใจ พร้อมบอกให้เราหันกลับมามองตัวเอง และรักตัวเองมากขึ้น หลายครั้งคำว่า ‘เหนื่อยไหม’ เราเฝ้าถามคนรอบข้างได้อย่างเข้าอกเข้าใจและถามได้อย่างง่ายดาย แต่กลับลืมที่จะถามตัวเองว่า นี่ตัวเราเองกำลังเหนื่อยอยู่ไหม อยากพักหรือไม่ หนังสือเล่มนี้รวบรวมเหล่าตัวช่วยหลายวิธีการที่จะทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น แต่มีอยู่หนึ่งวิธีการที่ง่ายมาก และอยากแชร์กับทุกคนว่าเป็นวิธีที่ใช้ได้ดีในวันที่อยากรักตัวเองมากขึ้นคือ ปล่อยใจไปกับการอ่านหนังสือ ซึ่งช่วงที่เรากำลังจมดิ่งไปในเรื่องราวของหนังสือ สิ่งนี้ช่วยให้เราได้ปลดปล่อยหัวใจ ความรู้สึกและเพิ่มพลังสมองได้ หรือจะใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการเปิดเพลงแล้วจับใจความของเพลงก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยได้อย่างดี

ทำไมควรมีหนังสือเล่มนี้ติดบ้าน หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปฟังเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ของเรา และมอบความอบอุ่นในวันที่หัวใจของเราต้องการการซ่อมแซม พร้อมทำให้เรารักตัวเองมากยิ่งขึ้น

นักเขียน ยุนแดฮย็อน
ราคา 295

สรุป

จบไปแล้วสำหรับการแนะนำหนังสือสำหรับคนหมดไฟ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งจากหนังสืออีกมากมายที่พร้อมเข้าใจ และช่วยในวันที่เราหมดไฟ ให้กลับมามีพลังใจอีกครั้ง หวังว่าหนังสือเหล่านี้จะทำให้เรารู้เท่าทันความคิด รู้จักวิธีการดูแลใจที่ถูกต้อง พร้อมให้เรากลับมามีไฟอีกครั้ง แต่ถ้าใครมีเวลาน้อย ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่อยากมีแหล่งเติมแพชชั่นใหม่ ๆ ติดตามเพจ ชอบโปร อีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยเติมแรงใจ ด้วยคอนเทนต์สดใหม่น่าสนใจมาอัปเดตตลอด พร้อมให้ทุกวัน เป็นวันที่ดีของคุณ

คุณอาจสนใจ